การประเมินผลสัมฤทธิ์และปัจจัยที่มีผลต่อ โครงการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ด้วยวิธีแปปสเมียร์ (Pap Smear) และวีไอเอ (Visual Inspection with Acetic Acid) ในประเทศไทย พ.ศ. 2548 - 2552
คำสำคัญ:
มะเร็งปากมดลูก, การตรวจคัดกรอง, การประเมินผลโครงการบทคัดย่อ
มะเร็งปากมดลูกเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทยทั้งที่มีบริการตรวจคัดกรองเพื่อค้นหาและ รักษาความผิดปรกติของเซลล์ในระยะเริ่มต้นมานานกว่า 40 ปี แต่อัตราการตรวจคัดกรองก็ยังต่ำมาก ตั้งแต่พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา รัฐบาลมีนโยบายลดการปัญหาดังกล่าว โดยดำเนินโครงการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก 75 จังหวัด้วยวิธีแปปสเมียร์และวีไอเอ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ และ ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ในทุกภาครวม 12 จังหวัด ตั้งแต่เดือนกันขายน 2552 ถึงเดือนพฤษภาคม 2553 ซึ่งประกอบด้วย 1) การสำรวจปัจจัยด้านผู้รับบริการกลุ่มเป้าหมาย จากหญิงอายุ 30-60 ปี จำนวน 4,640 คน เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ และ 2) การสำรวจปัจจัยด้านผู้ให้บริการและระบบบริการโดยส่งแบบสอบถามทางไปรษณีย์ไปยังผู้ให้บริการทั้งหมดจำนวน 3,526 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีทางสถิติเชิงพรรณาและสถิติพหุโลจิสติกเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์
ผลการศึกษาในหญิงกลุ่มผู้รับบริการ (อัตราความร่วมมือ 97%) พบอัตราการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมคลูกในช่วง พ.ศ. 2548-2552 เท่ากับร้อยละ 68 โดยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในพ.ศ. 2551-2552 ส่วนใหญ่ตรวจ ด้วยวิธีแปปสเมียร์ (88%) ส่วนที่ตรวจด้วยวิธีวีไอเอ (7%) ครึ่งหนึ่งไปตรวจคัดกรองที่สถานีอนามัย ปัจจัย ส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายเข้ารับบริการตรวจคัดกรองได้แก่ อายุระหว่าง 40-50 ปี อาศัยในเขตชนบทประกอบอาชีพเกษตรกรรม เคยตั้งครรภ์ ได้รับข้อมูลข่าวสารการตรวจคัดกรอง มีทัศนคติเชิงบวกต่อการรับ ข้อมูลจากสื่อสาธารณะและได้รับการกระตุ้นจากสมาชิกในครอบครัว ในขณะที่ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิเสธการรับบริการ ได้แก่ การเป็นมุสลิม มีประวัติสูบบุหรี่ ความเข้าใจผิดว่าหลังตรวจแล้วไม่พบความ ผิดปรกติก็ไม่ต้องมาตรวจซ้ำอีก และเข้าใจผิดว่ามีการให้บริการตรวจคัดกรองเฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้นสำหรับผู้ให้บริการ (อัตราตอบกลับ 55%) ส่วนใหญ่เห็นว่าปัญหามะเร็งปากมคลูกมีความสำคัญและการตรวจคัดกรองเป็นวิธีที่จะช่วยลดปัญหานี้ได้ รวมทั้งเห็นว่าปัจจัยนำเข้า (เช่น บุคลากร การจัดสรรงบประมาณและเครื่องมือ/อุปกรณ์ เป็นต้น) การอบรมบุคลากร การพื้นฟูความรู้ และการควบคุมคุณภาพยังไม่เพียงพอ
ข้อค้นพบดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ควรจัดบริการเชิงรุกในหญิงกลุ่มที่มีอัตรารับบริการต่ำ เพิ่มวิธีและ ช่องทางการสื่อสารให้จำเพาะกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความรู้และทัศคติที่ดี อีกทั้งควรกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเรื่องกลุ่มอายุ วิธีการตรวจ การจัดสรรงบประมาณ และเพิ่มการสนับสนุนปัจจัยนำเข้า เช่น เครื่องมือ อุปกรณ์ ระบบบันทึกและรายงานข้อมูล ที่เอื้อและเป็นแรงจูงใจต่อการให้บริการของผู้ปฏิบัติงาน
Downloads
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2017 วารสารวิชาการสาธารณสุข

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.

