วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม https://www.thaidj.org/index.php/tjha <p>วารสารการส่งเสริมสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อม เป็นวารสารด้านการส่งเสริมสุขภาพ และอนามัยสิ่งแวดล้อม ที่ยังไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารอื่นใดมาก่อน โดยกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตรวจแก้ไขต้นฉบับ และพิจารณาตีพิมพ์ตามลำดับก่อนหลัง </p> <p>ดูบทความวารสารได้ที่</p> <p><a href="https://km.anamai.moph.go.th/th/health2568">https://km.anamai.moph.go.th/th/health2568</a></p> <h3 dir="ltr"><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขต (Aim &amp; Scope)</strong></h3> <p> 1. เพื่อเเผยแพร่ความรู้ และวิชาการด้านส่งเสริมสุขภาพ และอนามัยสิ่งแวดล้อม<br /> 2. เพื่อเผยแพร่ผลงานค้นคว้า และวิจัยของนักวิชาการด้านส่งเสริมสุขภาพ และอนามัยสิ่งแวดล้อม<br /> 3. เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนทัศนคติ ข้อคิดเห็น และข่าวสาร และเป็นสื่อสัมพันธ์ในวงการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม</p> <h3 dir="ltr"><strong>ขอบเขต</strong></h3> <p>บทความวิชาการด้านการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมภาษาไทย</p> <h3 dir="ltr"><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></h3> <p>ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ใดๆ ในทุกขั้นตอน</p> <p><a href="https://drive.google.com/file/d/10m2y2kOTdzePcX1tZHjDfaQABgGYe2cG/view?usp=drive_link">การลงทะเบียนและการส่งบทความ</a></p> <p><a href="https://drive.google.com/file/d/12sz7qAXRoloG6o-IZwh7KRWhFl6kmyC-/view?usp=drive_link">แบบฟอร์มการเขียนบทความวิชาการ</a></p> กรมอนามัย en-US วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม 3056-9877 การประเมินผลการดำเนินงานส่งเสริมป้องกันสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิหลังการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด https://www.thaidj.org/index.php/tjha/article/view/16628 <p>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพช่องปากในหน่วยบริการระดับปฐมภูมิ หลังถ่ายโอนภารกิจไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และการบริหารจัดการและกลไกขับเคลื่อนงานในระยะเปลี่ยนผ่านของการถ่ายโอนการกิจด้านสาธารณสุข เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามในหน่วยบริการปฐมภูมิที่ถ่ายโอนภารกิจ (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี (สอน.)) จำนวน 370 แห่ง และเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกและสนทนากลุ่ม ผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงาน ตัวแทน 4 ภาค จำนวน 8 จังหวัด หลังการถ่ายโอนภารกิจ พบว่าการจัดบริการทันตกรรมพื้นฐาน ลดลงร้อยละ 6.5 การสนับสนุนครุภัณฑ์/เครื่องมือทันตกรรม และวัสดุทันตกรรม ลดลงร้อยละ 24.1 และ 20.6 ตามลำดับ การส่งข้อมูลเข้าระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (HDC) ลดลงร้อยละ 7.0 หน่วยบริการไม่ได้จัดบริการตรวจสุขภาพช่องปากในหญิงตั้งครรภ์ เด็กปฐมวัย เด็กวัยเรียน และวัยทำงาน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4, 2.7, 3.0 และ 4.1 ตามลำดับ ซึ่งแตกต่างจากก่อนการถ่ายโอนภารกิจอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;0.05) ข้อมูลเชิงคุณภาพ พบว่า หน่วยบริการมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการงบประมาณและการจ้างบุคลากรมาช่วยงานเพิ่มขึ้น แต่การสนับสนุนด้านทันตบุคลากร งบประมาณและเวชภัณฑ์จากโรงพยาบาลแม่ข่ายจำกัดลง ทั้งนี้การมีทิศทางดำเนินงาน ความร่วมมือ และสัมพันธ์ภาพที่ดีระหว่างหน่วยบริการกับโรงพยาบาลแม่ข่ายทำให้ดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง กลไกที่สำคัญคือการมีข้อตกลงร่วมกัน ระหว่างองค์การบริหารส่วนจังหวัดกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และการมีผู้ประสานงานที่ดีระหว่างสองหน่วยงาน ร่วมกับการสนับสนุนจากโรงพยาบาลแม่ข่ายจะช่วยให้การจัดบริการส่งเสริม ป้องกันด้านสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิ ดำเนินไปได้ด้วยดี</p> ณัชชา เปรมประยูร บังอร สุภาเกตุ รัตนาภรณ์ มั่นคง รัฐนันท์ โล่ศุภกาญจน์ พรชเนตต์ บุญคง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กรมอนามัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-26 2025-09-26 48 3 11 27 การศึกษาคุณภาพและความพึงพอใจต่อการจัดบริการคลินิกเด็กสุขภาพดี ตามมาตรฐานงานอนามัยแม่และเด็ก เขตสุขภาพที่ 6 https://www.thaidj.org/index.php/tjha/article/view/16561 <p>การวิจัยเชิงพรรณนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการให้บริการ ความพึงพอใจของผู้รับบริการ และความท้าทายในการดำเนินงานคลินิกเด็กสุขภาพดีของหนึ่งจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 6 ตามมาตรฐานงานอนามัยแม่และเด็ก โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม โรงพยาบาล 7 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลทั่วไป 1 แห่ง โรงพยาบาลชุมชน 2 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 4 แห่ง เก็บข้อมูลจากผู้ให้บริการ 21 คน และผู้รับบริการ 70 คน โดยใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าแม้ผู้ให้บริการมากกว่า 80% จะดำเนินการตามมาตรฐาน แต่ยังคงพบช่องว่างในด้านสถานที่ วัสดุอุปกรณ์และการบริการที่ครบถ้วน โดยเฉพาะ ห้องตรวจร่างกาย เครื่องวัดความยาวและเครื่องวัดส่วนสูง และบริการต่าง ๆ เช่น การตรวจวัดสายตา การได้ยิน และวัดความดันโลหิต สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี บริการที่ไม่ได้รับบ่อย คือ การเจาะเลือด ยาน้ำเสริมธาตุเหล็ก สำหรับเด็กอายุ 3 – 5 ปี คือ การตรวจวัดสายตา ประเมินความฉลาดทางอารมณ์ และวัดความดันโลหิตมักจะไม่ได้รับบริการ ความพึงพอใจภาพรวมของผู้รับบริการอยู่ในระดับสูง (คะแนนเฉลี่ย 4.42) โดยเรื่องค่าใช้จ่ายในการรับบริการได้รับคะแนนเชิงบวกมากที่สุด แต่เรื่องระยะเวลาการรอรับบริการและมุมส่งเสริมสุขภาพเป็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ข้อเสนอแนะจากการศึกษานี้ แนะนำให้หน่วยบริการสาธารณสุขจัดบริการคลินิกเด็กสุขภาพดีให้สอดคล้องกับตามมาตรฐานงานอนามัยแม่และเด็ก ปรับปรุงเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ และการอบรมเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงคุณภาพบริการ</p> วสุรัตน์ พลอยล้วน สุธรรม นันทมงคลชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กรมอนามัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-26 2025-09-26 48 3 28 41 การประเมินผลการดำเนินการส่งเสริมสุขภาพวัยทำงาน ในหน่วยงานส่วนกลางกรมอนามัย https://www.thaidj.org/index.php/tjha/article/view/16494 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประเมินผลการดำเนินการส่งเสริมสุขภาพวัยทำงานในหน่วยงานส่วนกลางกรมอนามัย กลุ่มตัวอย่าง 59 คน ประกอบด้วย 1) เจ้าหน้าที่กรมอนามัย 50 คน และ 2) ผู้บริหาร 9 คน โดยใช้แนวคิดการประเมินผลตามรูปแบบซิปป์ (CIPP Model) ผลการศึกษา ดังนี้ 1) ด้านบริบท กิจกรรมมีความสอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมสุขภาพและความต้องการของหน่วยงาน ทำให้เกิดความเข้าใจในวัตถุประสงค์และการออกแบบกิจกรรมที่สอดคล้องกับบริบทของหน่วยงาน แต่สิ่งที่สำคัญคือการปรับปรุงกิจกรรมให้น่าสนใจรวมถึงความต่อเนื่องของการดำเนินกิจกรรม 2) ด้านปัจจัยนำเข้า การสนับสนุนด้านข้อมูลและอุปกรณ์เป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อการเริ่มต้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพ แต่การขาดงบประมาณอาจจะส่งต่อการขับเคลื่อนกิจกรรมได้ 3) ด้านกระบวนการ การวางแผนการดำเนินกิจกรรมโดยการมีส่วนร่วมเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ ซึ่งส่งผลต่อรูปแบบในการดำเนินกิจกรรมรวมถึงการติดตามพฤติกรรมและภาวะสุขภาพ และ 4) ด้านผลผลิต การเปลี่ยนแปลงของภาวะสุขภาพ (น้ำหนักที่ลดลง รอบเอว ดัชนีมวลกาย และระดับความดันโลหิต) มีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากได้รับการกระตุ้นจากกิจกรรมด้านโภชนาการและกิจกรรมการออกกำลังกายของแต่ละหน่วยงาน แต่ยังจำเป็นต้องปรับกิจกรรมเพื่อให้เกิดความพึงพอใจในการดำเนินงาน ซึ่งความพึงพอใจนี้จะเป็นปัจจัยที่เสริมให้กิจกรรมมีความต่อเนื่อง ข้อเสนอแนะ หน่วยงานควรส่งเสริมการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการส่งเสริมสุขภาพ และเพิ่มการประสานงานความร่วมมือ เพิ่มการจัดสรรงบประมาณและวัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสม พร้อมทั้งการปรับปรุงกระบวนการกำกับ ติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อสร้างความยั่งยืนในโครงการส่งเสริมสุขภาพโดยการพัฒนาทรัพยากรและการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต</p> กชธนาณัฏฐ์ โพธิมา อัจฉราภา กลิ่นสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กรมอนามัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-26 2025-09-26 48 3 42 56 การพัฒนารูปแบบของสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็กเพื่อส่งเสริมความรอบรู้ทางสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์และผู้ดูแลเด็กปฐมวัยในประเทศไทย https://www.thaidj.org/index.php/tjha/article/view/16720 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็กให้สามารถส่งเสริมความรอบรู้ทางสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์และผู้ดูแลเด็กปฐมวัยในประเทศไทย โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1) ศึกษาปัญหาและความต้องการของผู้ใช้งานและบุคลากรสาธารณสุข ผ่านแบบสอบถามและสัมภาษณ์เชิงลึก 2) วางแผนพัฒนาเนื้อหาและรูปเล่มของสมุดบันทึกโดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมจากสหสาขาวิชาชีพ และ 3) ทดลองใช้ต้นแบบสมุดฉบับใหม่ในพื้นที่ 4 ภูมิภาค พร้อมประเมินผลด้านความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ และความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า สมุดฉบับใหม่ที่ปรับรูปแบบด้วยแนวคิด LEAN และจำแนกเนื้อหาตามหลัก 4P สำหรับมารดา ได้แก่ การวางแผนสำหรับการตั้งครรภ์ การฝากครรภ์ การคลอด และการดูแลหลังคลอด และ 4D สำหรับเด็กปฐมวัย ได้แก่ การดูแลป้องกันความเจ็บป่วยจากโรค โภชนาการ พัฒนาการเด็ก และสุขภาพช่องปาก มีการจัดหมวดหมู่ที่ชัดเจน ใช้งานง่าย เสริมเนื้อหาความรู้ผ่าน QR code เพื่อลดจำนวนหน้าและเสริมความยืดหยุ่นในการปรับข้อมูลให้ทันสถานการณ์ ผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์และผู้ดูแลเด็กปฐมวัยมีระดับความรอบรู้ทางสุขภาพเพิ่มขึ้น วัดจากแบบประเมินก่อนและหลังการใช้สมุดบันทึกสุขภาพฉบับใหม่ โดยใช้สถิติแบบ One-group pretest-posttest design ผลวิเคราะห์พบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t-statistic = 2.17 และ 3.97, p-value = 0.043 และ 0.0008 ตามลำดับ) ผู้ใช้งานในแต่ละกลุ่มมีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (ร้อยละ 90-100) ข้อเสนอแนะคือ ควรขยายการใช้งานสมุดฉบับใหม่นี้ในระดับประเทศ และพัฒนาในรูปแบบดิจิทัล เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้ใช้ยุคใหม่ และเพิ่มการเข้าถึงในระยะยาว</p> สุรัตน์ ผิวสว่าง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กรมอนามัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-26 2025-09-26 48 3 57 71 ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการป้องกันภาวะอ้วนในกลุ่มเสี่ยงวัยทำงานเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร https://www.thaidj.org/index.php/tjha/article/view/16553 <p> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบการหาความสัมพันธ์เชิงทำนายมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริมและศึกษาปัจจัยทำนายต่อพฤติกรรมป้องกันภาวะอ้วนในกลุ่มเสี่ยงวัยทำงานในกรุงเทพมหานคร ใช้ประยุกต์ใช้ทฤษฎี PRECEDE-PROCEDE Model กลุ่มตัวอย่างคือประชาชนวัยทำงานในกรุงเทพมหานครที่มีอายุ 20-30 ปี ดัชนีมวลกาย 23 - 24.9 กก./ม.<sup>2</sup> ใช้การสุ่มแบบชั้นภูมิ จำนวน 323 คน ตอบแบบสอบถามด้วยตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา สถิติความสัมพันธ์ไคส์แควร์ ค่าความเสี่ยงสัมพันธ์ สถิติถดถอยโลจิสติกทวิ กำหนดนัยสำคัญทางสถิติ.05 ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการป้องกันภาวะอ้วน (p-value &lt; .05) ได้แก่ เพศ อายุ รายได้สุทธิต่อเดือน ลักษณะการทำงานแบบนั่ง การรับรู้อุปสรรคในการป้องกันภาวะอ้วน ค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารและการสนับสนุนด้านประเมินตนเอง และพบปัจจัยทำนายต่อพฤติกรรมป้องกันภาวะอ้วนในกลุ่มเสี่ยงวัยทำงานในกรุงเทพมหานคร คือ เพศหญิง ลักษณะการทำงานแบบนั่ง การรับรู้อุปสรรคในการป้องกันภาวะอ้วนในระดับสูง ค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารระดับต่ำ และการสนับสนุนด้านประเมินระดับต่ำ สามารถร่วมทำนายพฤติกรรมป้องกันภาวะอ้วนในกลุ่มเสี่ยงวัยทำงานได้ร้อยละ 24.7 (R<sup>2</sup>=.247) ผลการศึกษาครั้งนี้มีข้อเสนอแนะต่อการสนับสนุนนโยบาย ข้อมูลพื้นฐานให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและการจัดกิจกรรมให้แก่ประชาชนวัยทำงานในกรุงเทพมหานครที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงให้ป้องกันภาวะอ้วนได้เหมาะสมตรงตามบริบทและความต้องการแท้จริง</p> กชนันท์ นาครัตน์ นฤมล เอื้อมณีกูล อาภาพร เผ่าวัฒนา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กรมอนามัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-26 2025-09-26 48 3 72 88 สถานการณ์แปรงสีฟันในตลาดประเทศไทย (พ.ศ.2557-2568) https://www.thaidj.org/index.php/tjha/article/view/16589 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคุณลักษณะของแปรงสีฟันจากการสำรวจในปี 2557 และ 2562 และหาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพของแปรงสีฟันในท้องตลาดประเทศไทยในปี 2562 รวมถึงศึกษาการคงจำหน่ายในตลาดระหว่างปี 2562 และปี 2568 ใช้วิธีการศึกษาวิเคราะห์ภาคตัดขวาง โดยส่วนที่ 1 ใช้ข้อมูลคุณลักษณะของแปรงสีฟัน ซึ่งเป็นข้อมูลทุติยภูมิจากการเฝ้าระวังคุณภาพแปรงสีฟันที่สำรวจในปี 2557 และ 2562 จากฐานข้อมูลสำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย และส่วนที่ 2 เป็นข้อมูลการสัมภาษณ์ผู้จำหน่ายแปรงสีฟันจากร้านค้า 10 แห่ง และข้อมูลแปรงสีฟันที่จำหน่ายในปี 2568 ในร้านหรือขายออนไลน์ร่วมกับข้อมูลที่แสดงบนเว็บไซต์จากแพลทฟอร์มตลาดสินค้าออนไลน์ กลุ่ม e-Marketplace ในช่วงเวลาที่ทำการศึกษาปี 2568 ผลการศึกษาพบว่าจำนวนรุ่นของแปรงสีฟันที่ขายเพิ่มมากขึ้นจาก 270 และ 293 รุ่นในปี 2557 และ 2562 เป็น 557 รุ่นในปี 2568 สัดส่วนของแปรงสีฟันที่ไม่ผ่านเกณฑ์คุณภาพในปี 2562 สูงกว่าปี 2557 ปัจจัย “การนำเข้าจากต่างประเทศ” ร่วมกับ “ราคาไม่เกิน 20 บาท” ส่งผลทางลบต่อคุณภาพของแปรงสีฟันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แปรงสีฟันที่มีทั้งสองปัจจัยดังกล่าวมีอัตราเสี่ยงที่คุณภาพจะไม่ผ่านเกณฑ์เป็น 8.7 เท่าของแปรงสีฟันที่มีราคาสูงกว่า 20 บาทและผลิตในประเทศ คุณภาพที่ไม่ผ่านเกณฑ์ส่วนใหญ่มาจากลักษณะปลายขนแปรงบกพร่องซึ่งพบได้จากปลายขนเรียวแหลมมากกว่าปลายมนกลม รองลงมาคือความทนต่อแรงดึงกระจุกขนแปรงไม่ผ่านเกณฑ์ แปรงสีฟันที่มีชื่อรุ่นที่ยังคงจำหน่ายในตลาดถึงปี 2568 มีโอกาสผ่านเกณฑ์คุณภาพมากกว่าแปรงสีฟันที่ตกรุ่นไปแล้วถึง 2.6 เท่า ร้านค้าใช้เกณฑ์ในการคัดเลือกสินค้ามาจำหน่ายจากความต้องการของลูกค้าโดยพิจารณาจากยอดขายในอดีตเป็นอันดับแรก ประกอบกับความถี่ของการโฆษณาในสื่อ/การส่งเสริมการขาย และยี่ห้อ/บริษัทผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ ดังนั้น ควรมีการสื่อสารผลการตรวจสอบคุณภาพแปรงสีฟันและวิธีการตรวจสอบความเรียบร้อยของขนแปรงให้ผู้บริโภค ทั้งประชาชนและหน่วยงานที่มีโครงการจัดซื้อแปรงสีฟันได้ใช้เป็นแนวทางในการเลือกซื้อสินค้า</p> ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์ นนทินี ตั้งเจริญดี พิญฌาดา แซ่เอี้ย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กรมอนามัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-26 2025-09-26 48 3 89 101 รูปแบบเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ จังหวัดนครสวรรค์ https://www.thaidj.org/index.php/tjha/article/view/16694 <p>การวิจัยรูปแบบเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุจังหวัดนครสวรรค์ ครั้งนี้วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษารูปแบบการพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุตามกรอบแนวคิดขององค์การอนามัยโลกในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่สามารถจัดการเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุที่มีความสอดคล้อง และเอื้อต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุในจังหวัดนครสวรรค์ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณร่วมกับวิจัยเชิงคุณภาพโดยมีวัตถุประสงค์คือการสำรวจแบบภาคตัดขวาง (Cross-Sectional Survey) และเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมของชุมชน PAR (Participatory Action Research) ใช้แบบสอบถามเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลประเมินเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุตาม 8 องค์ประกอบ ของ WHO ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 142 แห่ง จากนั้นคัดเลือกพื้นที่ จำนวน 14 แห่ง มาร่วมดำเนินการพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ ดำเนินการวิจัยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 – กุมภาพันธ์ 2568 โดยแบ่งการวิจัยเป็น 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาบริบทของพื้นที่ ประเมินสถานการณ์ของพื้นที่ ร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์ในเกณฑ์มาตรฐาน 8 องค์ประกอบขององค์การอนามัยโลกเพื่อค้นหาประเด็นที่ต้องพัฒนา ขั้นตอนที่ 2 ดำเนินการคัดเลือกพื้นที่ที่ต้องพัฒนาและมีความพร้อมในการเข้าร่วมดำเนินการ จำนวน 14 แห่ง จัดกระบวนการสนทนากลุ่ม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 10 คน ในพื้นที่คัดเลือก ขั้นตอนที่ 3 ประเมินผลหลังดำเนินการพัฒนาด้วยแบบประเมินเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุตาม 8 องค์ประกอบของ WHO และติดตามคุณภาพชีวิตตามแบบประเมินคุณภาพชีวิต 4 ด้าน ของเครื่องมือวัดคุณภาพชีวิต WHOQOL–BREF–THAI ประเมินและวิเคราะห์ผลการวิจัยด้วยสถิติที่ใช้คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Paired t-test ผลการวิจัยพบว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครสวรรค์ รับรู้เมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ ภาพรวม 8 องค์ประกอบ พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในระดับดีเด่น รองลงมาในระดับดี เมื่อพิจารณารายองค์ประกอบพบว่า องค์ประกอบที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ องค์ประกอบการบริการชุมชนและการบริการสุขภาพ รองลงมาอาคารสถานที่และบริเวณภายนอก และการให้ความเคารพและทำการคัดเลือกพื้นที่เพื่อร่วมดำเนินการพัฒนาแบบกระบวนการมีส่วนร่วมในพื้นที่และดำเนินการเปรียบเทียบผลการประเมินเมืองที่มิตรกับผู้สูงอายุ พบว่ามีการพัฒนาดีขึ้นทุกแห่งจากระดับพอใช้ เป็นระดับดีมาก จำนวน 2 แห่ง จากระดับพอใช้ เป็นระดับดี จำนวน 10 แห่ง และจากระดับกำลังพัฒนา เป็นระดับดี จำนวน 2 แห่ง ในส่วนเปรียบเทียบวิเคราะห์ผลการประเมินคุณภาพคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุก่อนและหลังการดำเนินการพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ พบว่าคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุทั้ง 4 ด้าน ก่อนและหลังการพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าการพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุต้องอาศัยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาครัฐ และเอกชน ภาคีเครือข่ายในชุมชนที่จะผลักดันให้สภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในชุมชนที่ดี</p> พรทิพย์ อนุตรพงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กรมอนามัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-26 2025-09-26 48 3 102 116 การประเมินความคุ้มค่าในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยด้านสุขภาพในแหล่งท่องเที่ยว https://www.thaidj.org/index.php/tjha/article/view/16631 <p>การประเมินความคุ้มค่าในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยด้านสุขภาพในแหล่งท่องเที่ยว มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคุ้มค่าในการบริหารจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยด้านสุขภาพภายในแหล่งท่องเที่ยว และจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายในการพัฒนาการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยทำการศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพของแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับรางวัลที่ 1 GREEN Health Attraction จำนวน 13 แห่ง ด้วยการสัมภาษณ์บุคคลที่มีบทบาทโดยตรงในการดำเนินโครงการด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของแหล่งท่องเที่ยว โดยใช้แบบประเมินความคุ้มค่าในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยด้านสุขภาพในแหล่งท่องเที่ยว และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (Social Return on Investment : SROI) ผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า ค่า SROI อยู่ในช่วงระหว่าง 1.01 ถึง 3.95 โดยแหล่งท่องเที่ยวทุกแห่งมีค่า SROI มากกว่า 1 ซึ่งสะท้อนถึงความคุ้มค่าของการลงทุนด้านการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยด้านสุขภาพ โดยการลงทุน 1 บาทสามารถสร้างผลตอบแทนทางสังคมได้มากกว่าหนึ่งบาทขึ้นไป นอกจากนี้ การลงทุนด้านการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม เช่น การดูแลห้องน้ำสาธารณะ การจัดการขยะมูลฝอย การจัดหาน้ำดื่ม-น้ำใช้ที่ได้มาตรฐาน และการดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ท่องเที่ยว มีความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งยังส่งเสริมความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแหล่งท่องเที่ยวในระยะยาว การศึกษานี้มีข้อเสนอเชิงนโยบายต่อการพัฒนาและยกระดับการจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยด้านสุขภาพในแหล่งท่องเที่ยว และการสร้างความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวด้วยการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยด้านสุขภาพในแหล่งท่องเที่ยว โดยหน่วยงานภาครัฐควรผลักดันการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยด้านสุขภาพในแหล่งท่องเที่ยวเป็นมาตรฐานสำคัญของการพัฒนาการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย</p> ชไมพร เป็นสุข ณีรนุช อาภาจรัส อังสุมาลิน จำนงชอบ พงษ์เทพ หาญพัฒนกิจ กัญจน์ ศิลป์ประสิทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กรมอนามัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-26 2025-09-26 48 3 117 128