https://www.thaidj.org/index.php/phird/issue/feed การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสาธารณสุข 2025-10-17T02:45:18+07:00 Dr. Phongpisanu Boonda [Ph.D.(R&D in Ed., M.P.H., B.P.H.] phong2470@hotmail.com Open Journal Systems <p><strong>Journal Title:</strong> Public Health Innovation Research and Development [<strong>PHIRD</strong>]</p> <p><strong>Journal Abbreviation:</strong> Public Health Innov R&amp;D</p> <p><strong>Free access online:</strong> 3 issues per year (January-April, May-August, September-December): PHIRD is a triannual, English-Thai bilingual online academic journal on the Thailand Digital Journal; ThaiDJ open-access platform. </p> <p><strong>Language:</strong> English, Thai</p> <p>Public Health Innovation Research and Development is a Thai national and international peer-reviewed journal that publishes original and high-quality research papers in all areas of public health. As an important academic exchange platform, scientists and researchers can know the most up-to-date academic trends and seek valuable primary sources for reference.</p> <ul> <li>ISSN: xxxx-xxxx (Print)</li> <li>ISSN: xxxx-xxxx (Online)</li> <li>Contact Us: phong2470@hotmail.com</li> <li>Website: https://thaidj.org/index.php/phird</li> </ul> https://www.thaidj.org/index.php/phird/article/view/17065 ผลของกระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก: กรณีศึกษาโรงพยาบาลพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก Results of a Pulmonary Tuberculosis Patients Care Process in the Outpatient Department: A Case Study of Phrompiram Hospital,Phitsanulok Province 2025-10-17T02:45:18+07:00 Rungarun Inlongpol rungarun60940@gmail.com <p><strong>ผลของ</strong><strong>กระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก : กรณีศึกษาโรงพยาบาลพรหมพิราม&nbsp; จังหวัดพิษณุโลก</strong></p> <p><strong>ความเป็นมา </strong>วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญระดับโลก โดยองค์การอนามัยโลกรายงานว่าในปี พ.ศ. 2565 มีผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ประมาณ 10.6 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตจากวัณโรคประมาณ 1.3 ล้านคนทั่วโลก (World Health Organization [WHO], 2023) โรงพยาบาลพรหมพิราม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 50 เตียง ที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในพื้นที่ จากการสำรวจเบื้องต้นพบว่า ปัญหาสำคัญในการดูแลผู้ป่วย&nbsp; วัณโรคปอดที่คลินิกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลพรหมพิราม ได้แก่ การขาดความต่อเนื่องในการรักษาการรับประทานยา การเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา การขาดการติดตามเยี่ยมบ้าน และข้อจำกัดในการประสานงานระหว่างทีมสหวิชาชีพเหล่านี้ล้วนส่งผลต่ออัตราความสำเร็จในการรักษาวัณโรคและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาผลของกระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลพรหมพิราม เพื่อพัฒนาแนวทางการดูแลที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ และนำไปสู่การเพิ่มอัตราความสำเร็จในการรักษา ลดการขาดยา และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยวัณโรคในพื้นที่อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ต่อไป</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong>การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนากระบวนการดูแลวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก และวัตถุประสงค์ย่อย คือ 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์ ปัญหา และแนวคิดการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลพรหมพิราม 2) เพื่อสร้างและตรวจสอบองค์ประกอบของกระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพรหมพิราม 3) เพื่อทดลองใช้และศึกษาผลการทดลองใช้กระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพรหมพิราม และ 4) เพื่อความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อกระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพรหมพิราม</p> <p>วิธีการดำเนินการวิจัย เป็นการวิจัยและพัฒนาประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ (1) การศึกษาสถานการณ์ ปัญหา และแนวคิดการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลพรหมพิราม (2) การสร้างและตรวจสอบองค์ประกอบของกระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพรหมพิรามด้วยสถิติการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (3) การทดลองใช้และศึกษาผลการทดลองใช้กระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก</p> <p>โรงพยาบาลพรหมพิราม และ (4) การประเมินความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อกระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลพรหมพิราม ขั้นตอนที่ 1 ได้ศึกษาข้อมูลของผู้ป่วยวัณโรคปอดรายใหม่และกลับเป็นซ้ำ ย้อนหลัง 3 ปี จำนวน 240คน ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาเชิงสำรวจ โดยทําการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างบุคลากรที่เกี่ยวข้อง จํานวน 67 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ&nbsp; จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบวิเคราะห์องค์ประกอบ แบบประเมินความคิดเห็นตามองค์ประกอบของกระบวนการ ขั้นตอนที่ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในขั้นตอนการทดลอง คือผู้ป่วยวัณโรคปอดรายใหม่ที่มารับบริการในคลินิกวัณโรค ของโรงพยาบาลพรหมพิราม จำนวน 6 คน การสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sample)มี การจัดกิจกรรมตามกระบวนการดูแลให้กับกลุ่มทดลอง ดังนี้ 1)ก่อนทดลอง ประชุมเตรียมการ 2) ระหว่างทดลอง กิจกรรมกลุ่มทดลอง เริ่มโปรแกรมกระบวนการดูแลผู้ป่วยโรควัณโรคปอด ทั้งหมด 6 คน ระยะเวลา ทั้งหมด 6 เดือน ได้รับกระบวนการดูแลการจัดการตนเองโดยพยาบาล ด้วยกระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอด ส่วนงานผู้ป่วยนอก ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่(1)การเก็บรวบรวมข้อมูล ,(2)การประมวลผลและประเมินข้อมูล ,(3)การพูดชักจูง/การสร้างสัมพันธภาพ/การตัดสินใจ ,(4)การตั้งเป้าหมาย/การลงมือปฏิบัติ ด้านการลงมือกระทำ หรือปฏิบัติ (Action)ผู้ป่วยลงมือปฏิบัติ ทักษะการจัดการตนเอง,การให้สุขศึกษา(Health education) ด้านพฤติกรรมการจัดการตนเองในผู้ป่วยโรควัณโรคปอด และ(5)การสะท้อนผล&nbsp; 3)หลังทดลองสรุปผลการทดลอง และวิเคราะห์ข้อมูล&nbsp; ขั้นตอนที่ 4 กลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยโรควัณโรคปอด ทั้งหมด 6 คน เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในการดูแลผู้ป่วยคลินิก 6 คน วัณโรคเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยขั้นตอน 1-4 ได้แก่ (1) แบบบันทึกข้อมูล (2) แบบประเมินกระบวนการ (3) แบบสอบถามการวิเคราะห์องค์ประกอบกระบวนการ (4) แบบประเมินความพึงพอใจ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือคู่มือการใช้กระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก วิเคราะห์ข้อมูลขั้นตอน 1-4 โดยใช้ การวิเคราะห์เนื้อหา เอกสาร ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (Exploratory Factor Analysis; EFA)</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> พบว่า 1) ผลการศึกษาสถานการณ์ ปัญหาและแนวคิดการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลพรหมพิราม</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp; ส่วนที่ 1 ผลการศึกษาสถานการณ์ ปัญหา พบว่าระบาดวิทยาของโรควัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก ประกอบด้วย</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp; Agent (เชื้อ/สาเหตุ)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; Mycobacterium tuberculosis เมื่อเชื้อ M. tuberculosis เข้าสู่ร่างกายทางการหายใจ จะไปถึงถุงลมปอด (alveoli) และถูกจับกินโดยเซลล์แมคโครฟาจ (macrophages) ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรค แต่เชื้อวัณโรคมีความสามารถพิเศษที่จะอยู่รอดและเพิ่ม</p> <p>จำนวนภายในแมคโครฟาจได้ (Pai et al., 2016) เมื่อเชื้อเพิ่มจำนวนมากขึ้น จะเกิดการอักเสบเฉพาะที่ที่เรียกว่า "primary complex" หรือ "Ghon complex" ทำให้เกิด รอยโรคที่ปอด การอักเสบของต่อมน้ำเหลืองบริเวณขั้วปอด หรือการอักเสบของเนื้อเยื่อที่เชื่อมระหว่างรอยโรคและต่อมน้ำเหลือง</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp; Host&nbsp; (นำพาไปติดเชื้อ)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1.โรคร่วม ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น การติดเชื้อ HIV, การได้รับยากดภูมิคุ้มกัน, โรคเบาหวาน, โรคปอดเรื้อรัง เช่น silicosis, COPD, โรคไตวายเรื้อรัง, ติดเชื้อวัณโรคในระยะ 2 ปีแรก, ภาวะทุพโภชนาการ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2.อายุน้อยกว่า 5 ปี หรือมากกว่า 65 ปี</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 3.ความรู้ในการดูแลตนเอง พฤติกรรมการสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp; Environment (เอื้อต่อการติดเชื้อ)&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; มาตรฐานการรักษา, ครอบครัว, เศรษฐกิจ ,สังคม , การสื่อสารทางสุขภาพ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp; ส่วนที่ 2 ผลการศึกษาแนวคิด พบว่า กระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพรหมพิราม ใช้ทฤษฎีทางการพยาบาลมาผสมผสานเพื่อเป็นฐานในการออกแบบกระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอด ประกอบด้วย</p> <p>(1) ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเลียนแบบของบันดูรา (Bandura, 1997) และ</p> <p>(2) ทฤษฎีการจัดการตนเองและการตัดสินใจของของเครียร์ (Creer, 2000)</p> <p>2) ผลการสร้างและตรวจสอบองค์ประกอบของกระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพรหมพิราม</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp; ส่วนที่ 1 ผลการสร้างองค์ประกอบของกระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพรหมพิราม พบว่า กระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพรหมพิราม ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก คือ</p> <p>1) หลักการ</p> <p>2) วัตถุประสงค์</p> <p>3) เนื้อหา</p> <p>4) กระบวนการ และ</p> <p>5) การประเมินผล</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; โดยในส่วนองค์ประกอบกระบวนการ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนย่อย คือ</p> <p>(1) การเก็บรวบรวมข้อมูล</p> <p>(2) การประมวลผลและประเมินข้อมูล</p> <p>(3) การพูดชักจูง/การสร้างสัมพันธภาพ/การตัดสินใจ&nbsp;</p> <p>(4) การตั้งเป้าหมาย/การลงมือปฏิบัติ และ&nbsp;&nbsp;</p> <p>(5) การสะท้อนผล</p> <p>ส่วนที่ 2 ผลการตรวจสอบองค์ประกอบของกระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพรหมพิราม ผลการตรวจสอบคุณภาพกระบวนการ โดย</p> <p>(1) ผู้ทรงคุณวุฒิพบว่า กระบวนการที่พัฒนาขึ้นมีคุณภาพอยู่ในระดับดี</p> <p>(2) สถิติการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (Exploratory Factor Analysis; EFA) พบว่า มีค่า KMO มีค่าเท่ากับ .894 ซึ่งมีค่าเข้าใกล้ 1 แสดงให้เห็นว่า ข้อมูลทั้งหมดและตัวแปรต่างๆนั้นมีความสัมพันธ์กันดีมากสามารถนำไปวิเคราะห์องค์ประกอบตามจุดมุ่งหมายของการวิจัยได้และจากค่าBartlett’s Test (Ap-prox. Chi-Square=2257.166,df=351, Sig=.000) แสดงให้เห็นว่า ตัวแปรเกี่ยวกับกระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพรหมพิราม ทั้ง 26 ตัวแปรมีความสัมพันธ์กันเพียงพอที่จะนำมาวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor Analysis) ได้</p> <p>3) ผลการทดลองใช้และศึกษาผลการทดลองใช้กระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพรหมพิราม พบว่า&nbsp;</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 3.1) ความรู้&nbsp; (จำนวนเคสxจำนวนปัญหาข้อย่อยในตารางstudy design&nbsp; เป็นยอดตัวหารทั้งหมด)</p> <p>(1) ในผู้ป่วย มีร้อยละคะแนนเฉลี่ยของความรู้เรื่องโรควัณโรคปอด (..%....) สูงกว่าก่อนการทดลอง (...%...) และสูงกว่าเกณฑ์ (เกณฑ์ร้อยละ 80) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.................</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 3.2) พฤติกรรม</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ภายหลังการทดลอง มีร้อยละคะแนนเฉลี่ยของระดับพฤติกรรมการดูแลตนเองสูงกว่าก่อนการทดลอง(..%) และสูงกว่าเกณฑ์ (เกณฑ์ร้อยละ 80) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ......</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 3.3) ประสิทธิภาพความสำเร็จของการรักษาวัณโรคปอด</p> <p>ภายหลังการทดลอง ในกลุ่มทดลองมีร้อยละความสำเร็จของการรักษาเฉลี่ย(ใส่คะแนน%...) สูงกว่าก่อนทดลอง (ใส่คะแนน%...)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; โดยมีร้อยละประสิทธิภาพความสำเร็จของการรักษาเฉลี่ย เท่ากับ (%หลังทดลอง - % ก่อนทดลอง=..%)</p> <p>&nbsp;Flow สรุป</p> <p>เกณฑ์ &gt; หลังทดลอง &gt; (ลด?)หลังควบคุม &gt; ก่อนทดลอง/ก่อนควบคุม</p> <p>100%&nbsp; &gt; 98.61%&nbsp;&nbsp; &gt; (9.99%) 90.22%&nbsp; &gt; 88.30%</p> <p>4) ผลการประเมินความพึงพอใจ พบว่า</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อกระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก : กรณีศึกษา โรงพยาบาลพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก จากกลุ่มตัวอย่าง โดยประเมินจากกลุ่มทดลองจำนวน ....ราย พบว่า ระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (x=………..) และผลการประเมินที่การประเมินความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อ</p> <p>กระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดส่วนงานผู้ป่วยนอก : กรณีศึกษา โรงพยาบาลพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก จากทีมผู้ดูแลผู้ป่วย &nbsp;จำนวน &nbsp;6 ราย มีความพึงพอใจในระดับมาก (x=……)</p> <p><strong>สรุป</strong> จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า กระบวนการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอด ส่วนงานผู้ป่วยนอกที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมทั้งในด้านเนื้อหาและกระบวนการดำเนินงานนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ (CPG), Care plan และสามารถนำไปใช้ในทางปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดเพื่อให้เกิดผลสำเร็จในการรักษาโรคของผู้ป่วย</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong><u>ผู้ป่วย</u>วัณโรคปอด, <u>การดูแล</u>ผู้ป่วยวัณโรคปอด, <u>กระบวนการดูแล</u>ผู้ป่วยวัณโรคปอด<u>ส่วนงานผู้ป่วยนอก</u></p> 2025-12-04T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสาธารณสุข https://www.thaidj.org/index.php/phird/article/view/14788 การพัฒนารูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะสุดท้ายที่ประสงค์จะเสียชีวิตที่บ้าน 2023-11-22T14:57:21+07:00 panu odklun panuodklun@gmail.com <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>:</strong> มะเร็งเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน ปัญหาที่พบส่วนมากคือการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งผู้ป่วยและญาติมักจะขาดความพร้อมในการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของโรคในระยะสุดท้าย และผู้ป่วยจำนวนหนึ่งต้องการกลับบ้านและเสียชีวิต</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> เพื่อพัฒนารูปแบบการวางแผนการจำหน่ายผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะสุดท้ายที่ต้องการเสียชีวิตที่บ้าน</p> <p><strong>วิธีการดำเนินการวิจัย</strong><strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่างใช้การเลือกแบบเจาะจง 30 คน เครื่องมือใช้แบบสอบถามที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้น&nbsp; มีค่าความตรง (IOC) 0.67-1.00 ค่าความเที่ยง เท่ากับ 0.75 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ&nbsp;และ การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> รูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วย ใช้เวลา 3-5 วัน มี 3 หัวข้อ 9 ขั้นตอน คือ 1) การวางแผนล่วงหน้า คือ (1) วางแผนการดูแลสุขภาพในอนาคต (2) ประชุมระหว่างผู้ป่วย สมาชิกในครอบครัวผู้ป่วย และทีมผู้ดูแลผู้ป่วย (3) วางแผนการจำหน่าย 2) การดูแลในโรงพยาบาล คือ (1) การพยาบาลผู้ป่วยตามสภาพการณ์ 2) ประเมินและจัดการอาการรบกวนต่าง ๆในผู้ป่วย 3) กระบวนการให้คำปรึกษา 3) การดูแลต่อเนื่อง คือ 1) การดูแลสุขภาพที่บ้าน 2) เวรให้คำปรึกษาผู้ป่วยและญาติทางโทรศัพท์ 3) การดูแลผู้ที่มีความเศร้าโศกจากการสูญเสีย ผู้ป่วยและผู้ดูแลมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยในระดับมากที่สุดในด้าน 1) การวางแผนล่วงหน้า (57.78%) 2) การดูแลในโรงพยาบาล (65.56%) 3) การดูแลต่อเนื่อง (60%)</p> <p><strong>สรุป:</strong> การวางแผนล่วงหน้าช่วยเตรียมให้บริการผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ การดูแลผู้ป่วยตลอดเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาลช่วยให้ผู้ป่วยอาการทุเลารวดเร็วขึ้น รวมทั้งการให้บริการอย่างต่อเนื่องแก่ผู้ป่วยและครอบครัว ช่วยให้ผู้ป่วยพึ่งพาตนเองให้ได้มากที่สุด</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> รูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วย, มะเร็งปอดระยะสุดท้าย, ผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะสุดท้ายที่ประสงค์จะเสียชีวิตที่บ้าน</p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสาธารณสุข https://www.thaidj.org/index.php/phird/article/view/14614 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงคาโนนิคอลระหว่างความรู้ความเข้าใจกับพฤติกรรมของประชาชนอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ 2023-10-14T12:30:36+07:00 Sureeporn Masrichan sureeporn698@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาระดับการปฏิบัติของความรู้ความเข้าใจ&nbsp;และการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ&nbsp;และบริการสุขภาพ&nbsp;ของประชาชนระดับอำเภอในประเทศไทย&nbsp;2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ความเข้าใจ&nbsp;และการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ&nbsp;และบริการสุขภาพ&nbsp;ของประชาชนระดับอำเภอในประเทศไทย&nbsp;3) ศึกษาอัตราและแบบแผนความสัมพันธ์สูงสุดความรู้ความเข้าใจ&nbsp;และการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ&nbsp;และบริการสุขภาพ&nbsp;ของประชาชนระดับอำเภอในประเทศไทย&nbsp;4)&nbsp;ศึกษาค่าน้ำหนักความสำคัญคาโนนิคอลจากค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์คาโนนิคอลความรู้ความเข้าใจ&nbsp;และการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ&nbsp;และบริการสุขภาพ&nbsp;ของประชาชนระดับอำเภอในประเทศไทย&nbsp;และ&nbsp;5) วิเคราะห์ตัวแปรประกอบหรือตัวแปรคาโนนิคอลจากค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ความรู้ความเข้าใจ&nbsp;และการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ&nbsp;และบริการสุขภาพ&nbsp;ของประชาชนระดับอำเภอในประเทศไทย&nbsp;กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นประชาชนอำเภอเขาค้อ&nbsp;จังหวัดเพชรบูรณ์ ประเทศไทย&nbsp;อายุ 15 ปีขึ้นไป&nbsp;จำนวน 3,318 คน&nbsp;ซึ่งได้มาโดยการ……………………….. เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามการประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพ ( Health Literacy )&nbsp;แบบมาตราส่วนประมาณค่า&nbsp;5 ระดับ</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">ระดับการปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพโดยรวมอยู่ในระดับมากโดยการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ&nbsp;และบริการสุขภาพที่มีการปฏิบัติอยู่ในลำดับแรก ได้แก่ ……………… และมีความรู้ความเข้าใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก&nbsp;โดยมีความรู้ความเข้าใจในลำดับแรก ได้แก่&nbsp;………………</li> <li class="show">ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ความเข้าใจและการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพ&nbsp;ของประชาชนระดับอำเภอในประเทศไทย&nbsp;มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยตัวแปรที่มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สูงสุด&nbsp;ได้แก่ความรู้ความเข้าใจ&nbsp;ด้าน………………กับการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ&nbsp;และบริการสุขภาพ&nbsp;ด้าน………………</li> <li class="show">แบบแผนความสัมพันธ์สูงสุดระหว่างความรู้ความเข้าใจและการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพ&nbsp;ของประชาชนระดับอำเภอในประเทศไทย&nbsp;เป็นดังนี้</li> </ol> <p>คู่ที่ 1 เป็นคู่ที่มีความสัมพันธ์กันสูงสุดที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ระหว่างความรู้ความเข้าใจ&nbsp;ด้าน………………และ………………<u>กับ</u>การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ&nbsp;และบริการสุขภาพด้าน………………และ………………</p> <p>คู่ที่ 2 เป็นคู่ที่มีความสัมพันธ์กันสูงรองลงมาที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ระหว่างความรู้ความเข้าใจด้าน………………และ………………<u>กับ</u>การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ&nbsp;และบริการสุขภาพด้าน………………และ………………ส่วนโรงเรียนที่มีความรู้ความเข้าใจ&nbsp;ด้าน………………และ……………<u>กับ</u>การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ&nbsp;และบริการสุขภาพด้าน……………และ………………</p> <p>คู่ที่ 3 เป็นคู่ที่มีความสัมพันธ์สูงสุดรองลงมาเป็นอันดับ 3 ที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ&nbsp;.05ระหว่างความรู้ความเข้าใจ&nbsp;ด้าน………………<u>กับ</u>การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ&nbsp;และบริการสุขภาพ&nbsp;ด้าน………………และ………………ส่วนโรงเรียนที่มีความรู้ความเข้าใจ&nbsp;ด้าน………………และ……………<u>กับ</u>การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ&nbsp;และบริการสุขภาพด้าน……………และ………………</p> <p>ส่วนคู่ที่ 4 และคู่ที่ 5 เป็นแบบแผนความสัมพันธ์ที่ความรู้ความเข้าใจ<u>&nbsp;</u><u>และ</u>การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ&nbsp;และบริการสุขภาพมีความสัมพันธ์กันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ</p> 2024-05-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสาธารณสุข https://www.thaidj.org/index.php/phird/article/view/14613 ผลของรูปแบบการพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ ของโรงพยาบาลวังทอง จังหวัดพิษณุโลก 2023-10-13T23:03:16+07:00 Wannaporn Boonda snow2470cc@hotmail.com <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>ความสำคัญและความเป็นมา</strong><strong>:</strong> การบริหารจัดการและการจัดระบบบริการของระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุนับว่ามีความสำคัญต่อ ความอยู่รอดและคุณภาพชีวิตของผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินอย่างต่อเนื่องเป็นกระบวนการ จึงมีความสำคัญที่ต้องได้รับการประเมินผล และวิเคราะห์สถานการณ์ระบบบริการที่ดำเนินการอยู่เพื่อทราบปัญหาและอุปสรรคและหาแนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อพัฒนา ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ณ จุด เกิดเหตุ ของโรงพยาบาลวังทองจังหวัดพิษณุโลกโดยนำกรอบแนวคิดรางวัลคุณภาพแห่งชาติของประเทศอเมริกา (Malcolm Baldrige National Quality Award: MBNQA) ประยุกต์เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบ รวมทั้งวิเคราะห์ประสิทธิภาพของ ระบบงานด้วยเทคนิคWhy-Why Analysis Critical-to-Quality และ Service Quality Model</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: การศึกษาในครั้งนี้ เป็นการ วิจัยและพัฒนาประกอบด้วย 4 ขั้นตอน (ขั้นตอนที่ 1 ถึงขั้นตอนที่ 4 ส่วนที่ 1 ใช้ผลการศึกษาในปี 2560-2561 ของวรรณพร บุญดา (ผู้วิจัย) และพงศ์พิษณุ บุญดา ) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นประชาชนผู้ได้รับการบาดเจ็บที่รับการบริการ การแพทย์ฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุในเขตอำเภอวังทองจังหวัดพิษณุโลกช่วงเดือนตุลาคม 2561 – กันยายน 2566 และ เครื่องมือที่ ใช้ในการวิจัยได้แก่ ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ณ จุด เกิดเหตุ แบบบันทึกการทดลอง และสอบถามความความคิดเห็นต่อระบบและองค์ประกอบการอบรมเชิงปฏิบัติการสำหรับภาคีเครือข่าย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย เช่น ค่าเฉลี่ย () ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) สถิติ การทดสอบ (t-test dependent sample) และการวิเคราะห์องค์ประกอบ (Exploratory Factor Analysis; EFA)</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: ผลการวิจัย พบว่า ในปี 2562-2566 ผลการทดลองใช้ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ พบว่า ทีมบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุให้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ 9 ขั้นตอน หลังการทดลองสูงกว่าเกณฑ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุยังคงมีองค์ประกอบ 9 องค์ประกอบ คือ 1) รับแจ้งเหตุ 2) สอบถามรายละเอียดข้อมูล 3) ประเมินสถานการณ์เพื่อออก ปฏิบัติงาน 4) รายงานศูนย์สั่งการ 5) ทีม ALS ออกปฏิบัติงาน 6) ทีม FR และอื่นๆออกปฏิบัติงาน 7) ประเมินสถานการณ์ที่ เกิดเหตุ และแจ้งกลับขอความช่วยเหลือ 8) ปฐมพยาบาล และเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บตามระดับความรุนแรงและ 9) รายงาน สถานการณ์มายังห้องฉุกเฉิน โดยมีค่า KMO…….. ความแปรปรวน…….% &nbsp;</p> <p><strong>สรุปและอภิปรายผลการศึกษา</strong>: จึงสรุปได้ว่า ขั้นตอนการพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุนี้ ยังคงมีความเหมาะสมและสามารถนำมาใช้ได้ประสบความสำเร็จ&nbsp; รูปแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้กับหน่วยบริการอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการต่อไป</p> <p><strong><em>คำสำคัญ</em></strong><em>: ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ, รางวัลคุณภาพแห่งชาติของประเทศอเมริกา</em></p> 2024-04-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสาธารณสุข https://www.thaidj.org/index.php/phird/article/view/14571 ผลของโปรแกรมอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานในผู้สูงอายุที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ : กรณีศึกษาอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ 2023-09-30T13:07:32+07:00 Wiliam Boonchom nurse.tun@gmail.com <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>บทนำ</strong></p> <p>โรคเบาหวานเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่ยังคงเป็นปัญหาสุขภาพปัจจุบันทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญอย่างมากเนื่องจากเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานในผู้สูงอายุที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลคือ&nbsp; พฤติกรรมการกินอาหาร</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: &nbsp;&nbsp; 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์ ปัญหา การควบคุมระดับน้ำตาลของผู้ป่วยโรคเบาหวานในผู้สูงอายุที่ควบคุมไม่ได้ ในอำเภอหล่มสัก&nbsp;&nbsp; และแนวทางการควบคุมระดับน้ำตาลของผู้ป่วยเบาหวานในผู้สูงอายุ</p> <p>๒) เพื่อสร้างและตรวจสอบโปรแกรมอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานในผู้สูงอายุที่ควบคุมระดับ</p> <p>น้ำตาลไม่ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong> : &nbsp;&nbsp;&nbsp; การศึกษาในครั้งนี้ เป็นการวิจัยและพัฒนา โดยใช้สรุปผลงานประจำปี 256๕ ของโรงพยาบาลหล่มสัก การทบทวนวรรณกรรม โดยใช้แบบบันทึกข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย เช่น ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ในการศึกษาของวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 แล้วใช้การทบทวนวรรณกรรม ข้อมูลจากผู้ทรงคุณวุฒิ โดยใช้แบบบันทึกข้อมูลและแบบประเมินองค์ประกอบของโปรแกรม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ เชิงบรรยาย เช่น ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ในการศึกษาของวัตถุประสงค์ข้อที่ 2</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> : (ใช้วัตสัน)พบว่า 1) การควบคุมระดับน้ำตาลในกลุ่มผู้สูงอายุ ในอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ยังไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องมีส่วนร่วมในการสร้างโปรแกรมอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานสูงอาย2) องค์ประกอบของโปรแกรมสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานในผู้สูงอายุที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ มี 1 สร้างสัมพันธภาพการช่วยเหลือและการไว้วางใจ2) การประเมินตนเอง (Self-evaluation) 3)การตั้งเป้าหมาย (Goal setting) 4)การตัดสินใจด้วยตัวเองSelf-determination 5)การลงมือปฏิบัติ(Action) 6) การกำกับตนเอง (Self-monitoring 7) การให้แรงเสริมตนเอง (Self-reinforcement)และมีคุณภาพอยู่ในระดับดี</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong>: โปรแกรมอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานในผู้สูงอายุที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้มีความเหมาะสมและสามารถนำไปทดลองใช้ ในขั้นตอนที่ 3 ของการวิจัยและพัฒนาต่อไป</p> <p><strong>คําสําคัญ: </strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; โรคเบาหวานในผู้สูงอายุ &nbsp;โปรแกรมอาหาร&nbsp; ระดับน้ำตาลในเลือด การควบคุมระดับน้ำตาล</p> 2024-07-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสาธารณสุข