การพัฒนากลไกการขับเคลื่อนการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในสถานศึกษาในประเทศไทย

บทคัดย่อ

การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนากลไกการขับเคลื่อนการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ใน สถานศึกษาในประเทศไทย และประเมินผลมาตรการการเตรียมความพร้อมก่อนเปิ ดภาคเรียนเพื่อการป้ องกันการ แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภาคการศึกษาที่ 1 ปี การศึกษา 2565 กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 10 คน เก็บข้อมูลเชิง คุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกตามคำถามเชิงโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา กลุ่มตัวอย่างเชิง ปริมาณคือสถานศึกษาที่ทำการประเมินตนเองเตรียมความพร้อมเพื่อการป้ องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 36,751 แห่งผ่านระบบ Thai Stop COVID Plus (TSC+) วิเคราะห์ ข้อมูลเชิงพรรณนาด้วยความถี่ ร้อยละ และทดสอบความสัมพันธ์เชิงพื้นที่การวิเคราะห์แบบ local indicators of spatial association (LISA) ผลการศึกษา พบว่า การพัฒนากลไกการขับเคลื่อนมาตรการการป้ องกันการแพร่ระบาด ของโรคโควิด-19 ประกอบด้วย (1) การขับเคลื่อนดำเนินงานอย่างมีส่วนร่วมในรูปแบบคณะกรรมการขับเคลื่อน มาตรการด้านสาธารณสุขในการเตรียมความพร้อมการเปิดภาคเรียนฯ ทั้งในระดับส่วนกลางและส่วนภูมิภาค (2) การกำหนดทิศทางมาตรการ แนวทางการปฏิบัติการดำเนินงานและข้อเสนอเชิงนโยบาย (3) การถ่ายทอดนโยบาย มาตรการการปฏิบัติสู่ภาคีเครือข่ายและสถานศึกษา (4) การติดตามผลการดำเนินงานของสถานศึกษาผ่าน เทคโนโลยีดิจิทัล ผลการประเมินพบว่า สถานศึกษาเข้าร่วมประเมินตนเอง ร้อยละ 78.40 สถานศึกษาประเมินตนเอง ผ่าน 6 มิติ ข้อ 1-20 ทุกข้อ ร้อยละ 99.36 สถานศึกษาผ่านมาตรการมิติที่ 1 ข้อ 1-12 ทุกข้อ แต่ไม่ผ่านข้อ 13-20 ข้อใดข้อหนึ่ง ร้อยละ 0.45 ผลการวิเคราะห์พบว่า ค่าร้อยละของจังหวัดที่มีสถานศึกษาผ่านการประเมินเตรียม ความพร้อมหลังเปิ ดเรียนสูงกว่าก่อนเปิดเรียน และพบรูปแบบของความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ แสดงถึงการเพิ่มขึ้นของ สถานศึกษาผ่านเกณฑ์ปฏิบัติตามมาตรการระดับสูง ประสิทธิผลของการพัฒนาการขับเคลื่อนมาตรการการป้ องกันการ แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการเตรียมความพร้อมเปิดเรียน ซึ่งไม่พบการติดเชื้อโรคโควิด-19 ในสถานศึกษา ส่งผลให้มีนโยบายและมีความพร้อมเปิ ดเรียนที่โรงเรียนได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย ดังนั้น ควรมีการพัฒนาระบบ และกลไกการขับเคลื่อนมาตรการป้ องกันการแพร่ระบาดโรคติดต่ออื่นในสถานศึกษา และการสร้างความร่วมมือกับ ภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนงานส่งเสริมสุขภาพเด็กกลุ่มเปราะบางต่อไป