วารสารโรงพยาบาลชลบุรี
https://www.thaidj.org/index.php/CHJ
<p><strong>วารสารโรงพยาบาลชลบุรี เป็นวารสารทางวิชาการของโรงพยาบาลชลบุรี เริ่มเผยแพร่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2518</strong></p> <h3>วัตถุประสงค์ของวารสาร</h3> <p>เพื่อเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการวิจัย การศึกษาคันคว้า หรือนวัตกรรมต่างๆและความเคลื่อนไหวด้านวิชาการทางการแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกรรม วิทยาศาสตร์การแพทย์ การพยาบาลและการสาธารณสุข เสริมสร้างความรู้ ความก้าวหน้าด้านวิชาการ</p> <p><strong>วารสารดิจิทัลสาธารณะ</strong>: เผยแพร่ทุกๆ 4 เดือน 3 ต่อปี</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน</p> <p> ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม</p> <p> ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม</p> <p><strong>ภาษา</strong> : ไทย , บทคัดย่อภาษาอังกฤษ</p>
Ministry of Health
en-US
วารสารโรงพยาบาลชลบุรี
0125-6882
<strong>บทความที่ได้รับการตีพิมพิ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารโรงพยาบาลชลบุรี</strong>
-
การบำบัดด้วยน้ำมันหอมระเหย ศาสตร์แห่งกลิ่นเพื่อสุขภาพองค์รวม
https://www.thaidj.org/index.php/CHJ/article/view/16841
<p><strong>“ศาสตร์แห่งกลิ่น”</strong> เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม สะท้อนถึงลักษณะการบำบัดที่ใช้กลิ่นหอมจากพืชธรรมชาติในการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ ในโลกปัจจุบันมีการใช้ศาสตร์นี้ทั้งในรูปแบบตะวันตก คือ อโรมาเทอราพี และรูปแบบตะวันออก โดยเฉพาะในบริบทไทย ซึ่งเรียกว่า สุวคนธบำบัด มีต้นกำเนิดและวัฒนธรรมการใช้น้ำมันหอมระเหยในการบำบัดและทั้งสองแนวทางยังมีเป้าหมายคล้ายกัน แต่ก็มีที่มา หลักคิด และวิธีการที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ ศาสตร์นี้มีรากฐานมาจากหลายวัฒนธรรมตั้งแต่อดีต โดยในยุคโบราณ ชาวอียิปต์และชาวกรีกใช้น้ำมันจากพืชในการบำบัดโรค รวมถึงใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา ในโลกตะวันออก น้ำมันจากไม้จันทน์หรือตะไคร้หอมได้ถูกนำมาใช้เพื่อขับไล่ความกังวลและชำระจิตใจ ในขณะที่ชาวจีนและชาวอินเดีย ใช้กลิ่นหอมจากสมุนไพรเพื่อรักษาความไม่สมดุลของร่างกาย ทั้งหมดนี้สะท้อนว่ามนุษย์เชื่อมโยงกับธรรมชาติผ่านกลิ่นมาเนิ่นนาน ในยุคสมัยใหม่ Aromatherapy ได้รับการฟื้นฟูและพัฒนาโดย Rene-Maurice Gattefossé นักเคมีชาวฝรั่งเศสที่ค้นพบคุณสมบัติทางการบำบัดของน้ำมันหอมระเหยจาก ลาเวนเดอร์ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20</p>
ณัฐรดา บุรุษเลี่ยม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-21
2025-11-21
50 2
183
183
-
การบำบัดด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแบบพัลส์: แนวทางการรักษาเสริมที่มีศักยภาพสำหรับแผลเรื้อรังทางผิวหนัง
https://www.thaidj.org/index.php/CHJ/article/view/16517
<p>แผลเรื้อรังเป็นภาวะที่ท้าทายในการดูแลรักษาทั้งแพทย์ผิวหนังและศัลยแพทย์ บทความนี้ทบทวนศักยภาพในการรักษาของการบำบัดด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแบบพัลส์ (PEMF) ในฐานะที่เป็นวิธีการรักษาเสริมสำหรับแผลเรื้อรังชนิดต่าง ๆ ที่พบในทางผิวหนัง โดยจะเจาะลึกถึงลักษณะของแผลเรื้อรัง การรักษามาตรฐานเดิม กลไกการออกฤทธิ์ที่ PEMF ส่งเสริมการหายของแผล ข้อบ่งชี้ทางคลินิก และหลักฐานที่สนับสนุนประสิทธิภาพของการรักษา</p>
จิรนุช ธรรมคำภีร์
สมชาย ยงศิริ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
50 2
175
175
-
สารบัญ
https://www.thaidj.org/index.php/CHJ/article/view/16885
<p>-</p>
สิทธิชัย ตันติภาสวศิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
50 2
-
เด็กชายไทยอายุ 3 ปี มาด้วยมีก้อนที่หลังหูขวามา 2 สัปดาห์
https://www.thaidj.org/index.php/CHJ/article/view/16879
<p><strong>เด็กชายไทยอายุ </strong><strong>3 ปี ภูมิลำเนา จ.ชลบุรี มาด้วยมีก้อนที่หลังหูขวามา 2 สัปดาห์ </strong></p> <p>ตรวจร่างกาย พบ round mass 1.5 cm in diameter at the posterior auricular area, smooth surface, not tender, not movable</p> <p>ผู้ป่วยได้รับการทำ mass excision</p> <p>Intraoperative finding พบ soft consistency mass, 2 cm in diameter, skull defect beneath the mass</p> <p>ผล Skull film และ ผล pathology เป็นดังภาพ</p> <p><strong>คำถาม</strong></p> <ol> <li>จงบรรยายสิ่งที่พบจาก Skull film</li> <li>จงให้การวินิจฉัย</li> <li>จงบอกการย้อมพิเศษที่ช่วยในการวินิจฉัย</li> </ol> <p>พญ.วรนาฏ รัตนากร</p> <p>woranartr@hotmail.com</p>
วรนาฎ รัตนากร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
50 2
193
193
-
กองบรรณาธิการ
https://www.thaidj.org/index.php/CHJ/article/view/16869
<p><strong>บรรณาธิการ</strong></p> <p>ทันตแพทย์สิทธิชัย ตันติภาสวศิน โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p><strong>รองบรรณาธิการ</strong></p> <p>แพทย์หญิงวรนาฏ รัตนาการ โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p><strong>ที่ปรึกษา</strong></p> <p>นายแพทย์นำพล แดนพิพัฒน์ โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p>ผศ.(พิเศษ) ทันตแพทย์ไพศาล กังวลกิจ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง</p> <p>นายแพทย์จีรศักดิ์ กาญจนาพงศ์กุล เอกชน</p> <p>นายแพทย์สมประสงค์ ทองมีสี โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p><strong>กองบรรณาธิการ</strong></p> <p>ศาตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ภิรมย์ กมลรัตนกุล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย</p> <p>ศาสตราจารย์ ทันตแพทย์อรสาไวคกุล มหาวิทยาลัยมหิดล</p> <p>รองศาสตราจารย์ ทพ.นพ.สมชาย เศรษฐศิริสมบัติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย</p> <p>รองศาตราจารย์ ดร.เภสัชกรกัมปนาท หวลบุตตา มหาวิทยาลัยอิสเทิร์นเอเชีย</p> <p>รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สมชาย ยงศิริ มหาวิทยาลัยบูรพา</p> <p>ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทันตแพทย์วิจิตร ธรานนท์ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์</p> <p>ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เสาวนีย์ ทองนพคุณ มหาวิทยาลัยบูรพา</p> <p>ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เภสัชกรธนิกานต์ แสงนิ่ม มหาวิทยาลัยบูรพา</p> <p>ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์กิตติ กรุงไกรเพชร มหาวิทยาลัยบูรพา</p> <p>ดร.แพทย์หญิงสาวิตรี วิษณุโยธิน โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา</p> <p>ดร.แพทย์หญิงสุชาดา อโณทยานนท์ โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p>ดร.ทัศนีย์ เชื่อมทอง โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p>ดร.พรทิพา ศุภราศรี วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี</p> <p>ดร.ชื่นฤทัย ยี่เขียน โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา</p> <p>นายแพทย์เดชวิทย์ วรสายัณห์ โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p>นายแพทย์พรพจน์ ศรีอุทัยศิริวงศ์ โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p>นายแพทย์พินิจ หนูฤทธิ์ โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p>นายแพทย์ศราวุธ ธรรมธนวิทย์ โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p>นายแพทย์สมบัติ อภิธรรมสุนทร โรงพยาบาลเอกชล</p> <p>นายแพทย์คมวุฒิ คนฉลาด โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา</p> <p>นายแพทย์ประภาส ยุทธวิสุทธิ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี</p> <p>นายแพทย์กฤตวิทย์ กฤตยามณีรัตน์ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี</p> <p>นายแพทย์ภักดี สรรค์นิกร โรงพยาบาลราชวิถี</p> <p>แพทย์หญิงเกศสิรี กรสิทธิกุล โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p>แพทย์หญิงวาสนา หงษ์กัน โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p>แพทน์หญิงสวรัตน์ ชัยจินดารัตน์ โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p>แพทย์หญิงหัสยา ตันติพงศ์ โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p>แพทย์หญิงเกศกนิษฐ์ ธรรมคำภีร์ มหาวิทนาลัยบูรพา</p> <p>แพทย์หญิงจินดารัตน์ เลาหไทยมงคล โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา</p> <p>เภสัชกรจิดาภา ภูวกรกุลวุฒิ ศูนย์ส่งเสริมฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงอายุ สภากาชาดไทย</p> <p>ทันตแพทย์ภัทิรา ตันติภาสวศิน มหาวิทยาลัยบูรพา</p> <p>นภาพร เฉลิมพรพงศ์ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี</p> <p><strong>ฝ่ายจัดการ</strong></p> <p>ณิชาภัทร ตันมี โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p>ธนกฤตา เรืองทองมา โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p> </p>
สิทธิชัย ตันติภาสวศิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
50 2
-
การรักษาพยาบาลในพื้นที่รบ
https://www.thaidj.org/index.php/CHJ/article/view/16790
<p>ความขัดแย้งและสงครามแน่นอนว่าต้องมีการบาดเจ็บล้มตาย พบว่าทหารมักเสียชีวิตจากการเสียเลือดจากบาดแผลตามแขนขา เลือดออกในช่องท้องจากการถูกยิง ลมรั่วในโพรงเยื่อหุ้มปอด (tension pneumothorax) และปัญหาระบบทางเดินหายใจ ดังนั้นเมื่อทหารได้รับการบาดเจ็บ การรักษาพยาบาลจึงมุ่งเน้นการหยุดเลือดออกเป็นสำคัญก่อน ถัดไปจึงดูแลเรื่องการหายใจ บาดแผล กระดูกหัก และแผลไฟไหม้ ตามลำดับ</p> <p><strong>การรักษาพยาบาลในพื้นที่รบ </strong>เป็นการดูแลรักษานอกโรงพยาบาลในสถานการณ์รบ ซึ่งไม่ปลอดภัย ให้แก่ ทหาร ประชาชนที่บาดเจ็บ ทีมบุคลากร และผู้รุกราน การดูแลใน Tactical EMS แบ่งเป็น 3 พื้นที่ ดังนี้คือ 1.การรักษาในพื้นที่เสี่ยง (care under fire) 2.การรักษาในโรงพยาบาลสนาม (tactical field care) และ 3. การรักษาระหว่างขนย้าย (combat casualty evacuation) การรักษาในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน เป้าหมายหลักคือ การรักษาผู้บาดเจ็บและการป้องกันไม่ให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดได้รับบาดเจ็บเพิ่มเติม</p> <p><strong>การรักษาในพื้นที่เสี่ยง </strong></p> <p>การให้การรักษาในพื้นที่ที่ทำการรบ พื้นที่นี้ถือเป็น <strong>Hot zone</strong> การทำงานในพื้นที่นี้มีความเสี่ยงสูงและมีทรัพยากรจำกัด เป้าหมายหลักคือ หยุดเลือดออก ขนย้ายผู้ป่วยออกไปยังพื้นที่ปลอดภัยโดยเร็ว เน้นความปลอดภัยของบุคลากรเป็นสำคัญ หลีกเลี่ยงการถูกยิง ป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับทีม</p> <p><strong>การรักษาในโรงพยาบาลสนาม </strong></p> <p>พื้นที่นี้ถือเป็น <strong>Warm zone</strong> การทำงานในพื้นที่นี้ก็ยังถือเป็นพื้นที่เสี่ยง และทรัพยากรมีจำกัดอยู่ แม้ว่าจะหยุดยิงกันแล้ว แต่ก็ต้องระวังว่าอาจมีการรบครั้งใหม่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เป้าหมายหลักคือการรักษาเพื่อลดอัตราตายรักษาตาม Airway (เปิดทางเดินหายใจ) -Breathing (ช่วยหายใจ)-Circulation (ช่วยระบบไหลเวียนเลือด) ป้องกันกระดูกสันหลังและคอบาดเจ็บ และรีบขนย้ายไปโรงพยาบาลที่ให้การรักษาโดยเร็ว</p> <p><strong>การดูแลระหว่างขนย้าย</strong></p> <p>พื้นที่นี้ถือเป็น <strong>Cold zone</strong> เป้าหมายหลักคือ การรักษาผู้บาดเจ็บให้อาการคงที่ และขนย้ายอย่างปลอดภัย นำส่งไปยังโรงพยาบาลที่ให้การรักษาโดยรวดเร็ว การขนย้ายต้องมุ่งเน้นว่าห้ามเคลื่อนขยับกระดูกสันหลัง เพื่อไม่ให้ผู้บาดเจ็บกลายเป็นอัมพาตตามมาได้ในภายหลัง</p>
สิทธิชัย ตันติภาสวศิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
50 2
101
101
-
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดการคลอดก่อนกำหนดที่โรงพยาบาลชลบุรี
https://www.thaidj.org/index.php/CHJ/article/view/16669
<p><strong>ความสำคัญ</strong>: การคลอดก่อนกำหนดเป็นปัญหาสำคัญของสูตินรีแพทย์และกุมารแพทย์ทั่วโลก มีสาเหตุมาจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก การมีประวัติคลอดก่อนกำหนด ความยาวปากมดลูกสั้น วิถีการดำเนินชีวิตและปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรม เช่น ดัชนีมวลกาย การสูบบุหรี่ เป็นต้น โรงพยาบาลชลบุรีเป็นโรงพยาบาลตติยภูมิที่รับการส่งต่อผู้ป่วยมีอุบัติการณ์การคลอดก่อนกำหนดเฉลี่ยร้อยละ 15-17 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2560 เริ่มมีการวัดความยาวปากมดลูกในไตรมาสสองแบบกิจวัตรตลอดจนการให้ยาป้องกันเพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนดในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด แต่ยังไม่สามารถลดอัตราการคลอดก่อนกำหนดลงได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: หาปัจจัยเสี่ยงของการเกิดการคลอดก่อนกำหนดที่โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p><strong>รูปแบบการศึกษา สถานที่ และผู้ป่วย</strong>: เป็นการศึกษาเชิงสมุฏฐาน (Etiognostic research) รูปแบบเหตุไปหาผลแบบย้อนหลัง (Retrospective cohort design) ที่โรงพยาบาลชลบุรี เก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานในสตรีตั้งครรภ์เดี่ยว อายุ จำนวนครั้งการตั้งครรภ์ น้ำหนัก ส่วนสูง ประวัติการสูบบุหรี่ ประวัติการคลอดก่อนกำหนด ความเข้มข้นโลหิต ผลเลือดซิฟิลิส ผลเลือดตับอักเสบบี ผลเลือดเอชไอวี ผลการตรวจน้ำตาลขณะตั้งครรภ์ ผลตรวจมะเร็งปากมดลูก ผลการวัดความยาวปากมดลูกทางช่องคลอดที่อายุครรภ์ 16-24 สัปดาห์ ตลอดจนอายุครรภ์เมื่อคลอดที่กลุ่มงานสูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลชลบุรี</p> <p><strong>การวัดผลและวิธีการ</strong>: ข้อมูลพื้นฐานเป็นค่าเฉลี่ย และค่ามัธยฐาน วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงด้วย Multivariable Logistic Regression รายงานเป็นค่า Odds ratio และช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> สตรีตั้งครรภ์ทั้งหมด 1010 ราย คลอดก่อนกำหนด 132 ราย คลอดครบกำหนด 878 ราย ข้อมูลพื้นฐานอายุเฉลี่ย ดัชนีมวลกาย ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จากศึกษานี้ความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดเพิ่มขึ้น 12.1 เท่าในสตรีที่มีประวัติการคลอดก่อนกำหนด 3.1 เท่าในการติดเชื้อซิฟิลิส และ 2.4 เท่าในสตรีที่มีความดันโลหิตสูง ขณะตั้งครรภ์อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ความยาวปากมดลูกสั้นและภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด แต่ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตามพบความยาวปากมดลูกสั้นเพิ่มโอกาสการคลอดก่อนกำหนดในกลุ่มเสี่ยงสูงอย่างมีนัยสำคัญ</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> สตรีตั้งครรภ์เดี่ยวที่มีประวัติคลอดก่อนกำหนด การติดเชื้อซิฟิลิส และความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ มีความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดอย่างมีนัยสำคัญ</p>
ณัฐนันท์ วิไลเรืองชูวงษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
50 2
109
109
-
การศึกษาความสมเหตุสมผลของการใช้ยาฟิลกราสติมเพื่อป้องกันการเกิดภาวะไข้จากเม็ดเลือดขาวต่ำในผู้ป่วยมะเร็งที่ให้เคมีบำบัดของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเขตสุขภาพที่ 6
https://www.thaidj.org/index.php/CHJ/article/view/9368
<p class="Default" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><strong><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Angsana New',serif;">ที่มาของปัญหา</span></strong><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Angsana New',serif;"> ในปี 2560-2562 ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเขตสุขภาพที่ 6 มีผู้ป่วยโรคมะเร็งเกิด </span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Angsana New',serif;">febrile neutropenia (FN) <span lang="TH">จำนวน 102 ครั้ง ปัจจุบันมีแนวทางสากลในการใช้ </span>G-CSF <span lang="TH">หลัก ได้แก่ </span>NCCN 2020<sup><span lang="TH">1</span></sup>, ASCO 2015<sup><span lang="TH">2</span></sup><span lang="TH"> และ </span>EORTC 2010<sup><span lang="TH">3</span></sup><span lang="TH"> ทุกแนวทางเห็นพ้องกันในการใช้ </span>G-CSF <span lang="TH">เพื่อป้องกัน </span>FN </span></p> <p class="Default" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><strong><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Angsana New',serif;">วัตถุประสงค์</span></strong><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Angsana New',serif;"> เพื่อศึกษาความสมเหตุสมผลของการใช้ยา </span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Angsana New',serif;">filgrastim <span lang="TH">เพื่อป้องกันการเกิด </span>febrile neutropenia <span lang="TH">ในผู้ป่วยมะเร็งที่ให้เคมีบำบัดของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเขตสุขภาพที่ 6 </span></span></p> <p class="Default" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><strong><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Angsana New',serif;">วัสดุและวิธีการ</span></strong><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Angsana New',serif;"> การศึกษาเชิงบรรยายจากข้อมูลย้อนหลัง </span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Angsana New',serif;">(Retrospective descriptive study)<span lang="TH"> จากเวชระเบียนผู้ป่วยโรคมะเร็งโลหิตวิทยา ที่ได้รับหรือไม่ได้รับยา </span>filgrastim <span lang="TH">หลังการให้เคมีบำบัดในผู้ป่วยผู้ใหญ่ทุกราย ตั้งแต่วันที่ </span>1 <span lang="TH">มกราคม </span>2560 – 31 <span lang="TH">ธันวาคม </span>2562 </span></p> <p class="Default" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><strong><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Angsana New',serif;">ผลการศึกษา</span></strong><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Angsana New',serif;"> จำนวนผู้ป่วย 155 ราย (ชาย 85 คน</span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Angsana New',serif;">,<span lang="TH"> หญิง 70 คน) จำนวนรอบการรักษา 747 ครั้ง</span> (<span lang="TH">ชาย 428 ครั้ง หญิง 319 ครั้ง</span>)<span lang="TH"> การใช้ </span>filgrastim <span lang="TH">สอดคล้องกับ </span>NCCN <span lang="TH">527 ครั้ง</span> (70.5%) <span lang="TH">ไม่สอดคล้อง</span> 220 <span lang="TH">ครั้ง</span> (29.5%) <span lang="TH">ให้ยาเคมีบำบัด 747 ครั้ง สั่งใช้ </span>filgrastim 576 <span lang="TH">ครั้ง มีความสมเหตุสมผลเรื่องขนาดยา 574 ครั้ง</span> (99.7%) <span lang="TH">ไม่สมเหตุสมผล 2 ครั้ง</span> (0.3%) <span lang="TH">มีความสมเหตุสมผลในเรื่องระยะเวลา 172 ครั้ง</span> (29.9%) <span lang="TH">ไม่สมเหตุสมผล 404 ครั้ง</span> (70.1%) <span lang="TH">มีความสมเหตุสมผลเรื่องการติดตามการใช้ยา </span>230 <span lang="TH">ครั้ง</span> (39.9%) <span lang="TH">ไม่สมเหตุสมผล 346 ครั้ง</span> (60.1%) </span></p> <p class="Default" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><strong><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Angsana New',serif;">สรุป</span></strong><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Angsana New',serif;"> การใช้ </span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Angsana New',serif;">filgrastim <span lang="TH">เพื่อป้องกัน </span>FN <span lang="TH">มีความไม่สอดคล้องตามแนวทาง </span>NCCN <span lang="TH">29.</span>5% <span lang="TH">และคิดเป็นมูลค่ายา 637</span>,880 <span lang="TH">บาท</span></span></p>
เศกสรร วงศ์สุริยศักดิ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
50 2
117
117
-
ประสิทธิผลของโปรแกรม SMART TEETH ต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปาก พฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก ปริมาณแผ่นคราบจุลินทรีย์ และคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนสังกัดเทศบาลเมืองศรีสะเกษ
https://www.thaidj.org/index.php/CHJ/article/view/15229
<p>การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรม ‘SMART TEETH’ ต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปาก พฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก ปริมาณแผ่นคราบจุลินทรีย์ และคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนสังกัดเทศบาลเมือง ศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 72 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 36 คน กลุ่มเปรียบเทียบ 36 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรม SMART TEETH เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ประกอบด้วยการบรรยาย สาธิต ฝึกปฏิบัติ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในกลุ่ม ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบได้รับทันตสุขศึกษาตามปกติ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความแตกต่างด้วยสถิติ Paired Sample t-test และ ANCOVA ผลการวิจัย พบว่า คะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากกลุ่มทดลองน้อยกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (mean diff = -0.72, ร้อยละ 95 CI = -5.25-3.84) คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากกลุ่มทดลองมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (mean diff = 1.44, ร้อยละ 95 CI = 0.12-2.76) ปริมาณแผ่นคราบจุลินทรีย์ (mean diff = 0.92, ร้อยละ 95 CI = 0.58-1.26) และคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปาก (mean diff = 7.00, ร้อยละ 95 CI = 2.90-11.11) กลุ่มทดลองน้อยกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนั้น โปรแกรม SMART TEETH ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และทักษะการดูแลสุขภาพช่องปากตนเองสามารถนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันจนเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก และเห็นความสำคัญในการดูแลสุขภาพช่องปากของตนเอง แต่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพช่องปากจากแหล่งอื่น ๆ ได้ อย่างไรก็ตามผู้ปกครอง คุณครูควรมีการติดตามพฤติกรรมของนักเรียนในระยะยาว และโรงเรียนควรสนับสนุนแหล่งการเรียนรู้สุขภาพช่องปากที่หลากหลาย เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และเข้าถึงระบบบริการสุขภาพช่องปากได้มากยิ่งขึ้น</p>
กานต์ชนก สมใจ
นิยม จันทร์นวล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
50 2
125
125
-
ขนาดยาแวนโคมัยซินที่เหมาะสมในผู้ป่วยภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสโลหิตที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลชลบุรี
https://www.thaidj.org/index.php/CHJ/article/view/16057
<p>ผู้ป่วยภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสโลหิต มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสรีรวิทยาส่งผลให้พารามิเตอร์ทางเภสัชจลนศาสตร์ของยาแวนโคมัยซินมีการเปลี่ยนแปลง อาจทำให้ผู้ป่วยมีระดับยาในเลือดสูงจนเกิดความเป็นพิษหรือระดับยาในเลือดต่ำไม่เพียงพอต่อการรักษาภาวะติดเชื้อ ดังนั้นการพิจารณาให้ยาในขนาดเหมาะสมจึงเพิ่มประสิทธิผลในการรักษาและลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาขนาดยาแวนโคมัยซินที่เหมาะสมในผู้ป่วยภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสโลหิต โดยเก็บข้อมูลย้อนหลังและไปข้างหน้าในผู้ป่วยภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสโลหิต ที่ได้รับยาแวนโคมัยซินและตรวจระดับยาแวนโคมัยซินในเลือดซึ่งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลชลบุรีระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2562 –31 กรกฎาคม 2566 ผลการศึกษาพบผู้ป่วย septic shock 88 คน มีอายุเฉลี่ย (SD) เท่ากับ 58 (17) ปี และมีค่ามัธยฐาน (IQR) การทำงานของไตประเมินจากการชำระครีแอทินิน (CrCl) เท่ากับ 44.27 (24.00 – 75.28) มิลลิลิตรต่อนาที จากผลตรวจระดับยาแวนโคมัยซิน 174 ตัวอย่าง สามารถจำลองค่าพารามิเตอร์ทางเภสัชจลนศาสตร์ได้ค่าเฉลี่ยปริมาตรการกระจายยา (Vd) เท่ากับ 0.80 (0.17) ลิตรต่อกิโลกรัม และค่ามัธยฐานอัตราการกำจัดยาเท่ากับ 1.39 (0.96 – 3.68) ลิตรต่อชั่วโมง เมื่อกำหนดเป้าหมายทางเภสัชพลศาสตร์ของยาแวนโคมัยซินด้วยสัดส่วนค่าจำลองพื้นที่ใต้กราฟความเข้มข้นของยาในระยะเวลา 24 ชั่วโมงต่อค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งเชื้อ (AUC<sub>24</sub>/MIC) เท่ากับ 400 – 600 มิลลิกรัมชั่วโมงต่อลิตร สามารถกำหนดขนาดยาอย่างเหมาะสมในแต่ละระดับการทำงานของไต จากฐานข้อมูลด้านยาทางเภสัชกรรมแนะนำขนาดยาแวนโคมัยซินในแต่ละระดับการทำงานของไตต่างจากขนาดยาที่จำลองได้ผู้ป่วยภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสโลหิต โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการทำงานของไตลดลงระดับปานกลางถึงรุนแรง (CrCl น้อยกว่าหรือเท่ากับ 50 มิลลิลิตรต่อนาที) ดังนั้น หากนำแนวทางนี้ไปใช้ในการกำหนดขนาดยาควรมีการตรวจติดตามระดับยาแวนโคมัยซินในเลือดร่วมด้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้ยา</p>
ธนิศา เล็กน้อย
มุทิตา ยืนวงศ์
เกศรินทร์ ชัยศิริ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
50 2
135
135
-
ผลของโปรแกรมการส่งเสริมความสามารถตนเองในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง จังหวัดชลบุรี
https://www.thaidj.org/index.php/CHJ/article/view/16440
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมความสามารถตนเองในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง จังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่างมีจำนวน 60 คนเป็นผู้ป่วยกลุ่มทดลอง 30 คน และกลุ่มควบคุม 30 คน ซึ่งกลุ่มทดลองใช้กิจกรรมการส่งเสริมความสามารถตนเองในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ส่วนกลุ่มควบคุมไม่ได้เข้าร่วมโปรแกรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและเปรียบเทียบผลระหว่างกลุ่ม สถิติที่ใช้คือ Independent samples t - test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองมีการรับรู้ความสามารถตนเองเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนทดลอง และมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p<0.05 ความคาดหวังต่อผลการปฏิบัติเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนทดลอง และมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p<0.05 พฤติกรรมสุขภาพเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนทดลอง และมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p<0 05 จึงควรส่งเสริมให้มีการนำโปรแกรมการส่งเสริมความสามารถตนเองในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพนี้ ไปประยุกต์ใช้ส่งเสริมสุขภาพในหน่วยงานอื่นๆต่อไป</p>
อุบลรัตน์ วิเชียร
ปัญชรี อุคพัชญ์สกุล
อัญชณา ศรีชาญชัย
อัจฉราวลี วงศ์ระวีกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
50 2
141
141
-
กลุ่มอาการนิวโรเลพติก
https://www.thaidj.org/index.php/CHJ/article/view/15784
<p>กลุ่มอาการนิวโรเลพติก เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบและเป็นปัญหาสำคัญที่ควรเฝ้าระวังโดยเฉพาะผู้ที่ได้รับยารักษาอาการทางจิต ซึ่งมีลักษณะอาการที่เด่นชัด 4 อาการ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของการรับรู้ กล้ามเนื้อหดเกร็ง ไข้ และการเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทอัตโนมัติ ส่วนใหญ่พบประวัติการได้รับยารักษาอาการทางจิต หรือยาชนิดอื่นที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับโดปามีนอย่างรวดเร็ว พบอุบัติการณ์ได้ไม่บ่อย แต่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ได้แก่ กล้ามเนื้อสลาย ปอดติดเชื้อ ไตวายเฉียบพลัน ติดเชื้อในกระแสเลือด และเสียชีวิต โดยมักพบปัญหาในการวินิจฉัยแยกจากโรคอื่นที่มีไข้และเปลี่ยนแปลงของการรับรู้ การรักษาโดยหยุดยาที่ใช้และรักษาแบบประคับประคองตามอาการ บางรายที่อาการรุนแรงอาจจำเป็นต้องได้ยาที่เฉพาะเจาะจง อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยตามลักษณะอาการทางคลินิก และรักษาโรคตั้งแต่ระยะแรก เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อช่วยลดภาวะแทรกซ้อนและอัตราการเสียชีวิต</p>
ณรัฐฐา หน่อพันธุ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
50 2
149
149
-
จดหมายจากบรรณาธิการ
https://www.thaidj.org/index.php/CHJ/article/view/16887
<p>เรียน ท่านผู้อ่าน<br />วารสารโรงพยาบาลชลบุรีฉบับที่ 2 ของปี 2568 ได้ออกสู่สายตาผู้อ่านแล้ว ฉบับนี้มีนิพนธ์ต้นฉบับหลายเรื่องที่น่าสนใจ ได้แก่ ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดการคลอดก่อนกำาหนดที่โรงพยาบาลชลบุรี การศึกษาความสมเหตุสมผลของการใช้ยาฟิลกราสติมเพื่อป้องกันการเกิดภาวะไข้จากเม็ดเลือดขาวต่ำในผู ้ป่วยมะเร็งที่ให้เคมีบำบัดของโรงพยาบาลแห่ง<br />หนึ่งในเขตสุขภาพที่ 6 ประสิทธ์ผลของโปรแกรม SMART TEETH ต่อความรอบรู ้ด้านสุขภาพช่องป่าก พฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก ปริมาณแผ่นคราบจุลินทรีย์ และคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปาก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนสังกัดเทศบาลเมี่องศรีสะเกษ ขนาดยาแวนโคมัยซินที่เหมาะสมในผู ้ป่วยภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสโลหิต ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลชลบุรี ผลของโปรแกรมการส่งเสริมความสามารถตนเองในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของผู ้ป่วยความด้ันโลหิตสูง จังหวัด้ชลบุรี รายงานผู้ป่วย 1 เรื่อง คือ กลุ่มอาการนิวโรเลพติก บทความฟิ้นฟูวิชาการ 1 เรื่องคือ ความพิการของกะโหลกศึรษะและใบหน้าแต่กำาเนิด บทความพิเศษ 1 เรื่อง คือการบำบัดด้้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแบบพัลล์: แนวทางการรักษาเสริมที่มีศักยภาพสำาหรับแผลเรื้อรังทางผิวหนัง และปีดท้ายด้้วยเรื่องที่น่าสนใจของคุณณัฐรดา บุรุษเลี่ยม เรื่่องการบำาบัด้ด้้วยน้ำามันหอมีระเหย ศาสตร์แห่งกลิ่นเพื่อสุขภาพองค์รวม<br />สุดท้ายนี้ กองบรรณาธิการขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความีสนใจและส่งบทความมาตีพิมพ์ ตลอดจนทุกท่านที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือจนทำให้วารสารโรงพยาบาลชลบุรีฉบับนี้สำาเร็จออกสู่สายตาผู้อ่านได้ด้วยดี<br />สิทธิชัย ตันติภาสวศิน<br />บรรณาธิการ</p>
สิทธิชัย ตันติภาสวศิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
50 2
107
107
-
วารสารโรงพยาบาลชลบุรี
https://www.thaidj.org/index.php/CHJ/article/view/16884
<p>-</p>
สิทธิชัย ตันติภาสวศิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
50 2
-
คำแนะนำ
https://www.thaidj.org/index.php/CHJ/article/view/16870
<p>-</p>
สิทธิชัย ตันติภาสวศิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
50 2
-
ความพิการของกะโหลกศีรษะและใบหน้าแต่กำเนิด
https://www.thaidj.org/index.php/CHJ/article/view/16785
<p>ความพิการของกะโหลกศีรษะและใบหน้าแต่กำเนิด ส่งผลต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของกะโหลกศีรษะและใบหน้า ทำให้ศีรษะและใบหน้าผิดรูป กระทบต่อพัฒนาการของสมอง และถ้าความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มสูงขึ้น จะรบกวนการไหลเวียนของระบบเลือดและน้ำไขสันหลังในสมอง ความผิดปกติเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากการที่รอยประสานกะโหลกศีรษะเชื่อมติดกันก่อนกำหนด ความรุนแรงของความผิดปกติของกะโหลกศีรษะและพัฒนาการของสมอง ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย จํานวนและตำแหน่งของรอยประสานกะโหลกศีรษะที่เกี่ยวข้อง พบอัตราอุบัติการณ์ระหว่าง 1 ใน 2,100 ถึง 1 ใน 2,500 ของการเกิดมีชีพทั่วโลก ภาวะรอยประสานกะโหลกศีรษะเชื่อมติดกันก่อนกำหนด<strong>จำแนกเป็น </strong><strong>2 ประเภท</strong>คือ ภาวะรอยประสานกะโหลกศีรษะเชื่อมติดกันก่อนกำหนด ชนิดไม่ใช่ซินโดรม แล<strong>ะ</strong>ภาวะรอยประสานกะโหลกศีรษะเชื่อมติดกันก่อนกำหนด ชนิดซินโดรม ภาวะรอยประสานกะโหลกศีรษะเชื่อมติดกันก่อนกำหนด ชนิดที่ไม่ใช่ซินโดรม ที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ รอยประสานแซกกิเทลเชื่อมติดกันก่อนกำหนด ร้อยละ 60 รอยประสานโคโรแนลเชื่อมติดกันก่อนกำหนด 1 ด้าน ร้อยละ 15-20 รอยประสานโคโรแนลเชื่อมติดกันก่อนกำหนด 2 ด้าน ร้อยละ5-10<span style="text-decoration: line-through;">,</span> รอยประสานเมโทปิกเชื่อมติดกันก่อนกำหนด ร้อยละ15 และ รอยประสานแลมบ์ดอยด์เชื่อมติดกันก่อนกำหนด ร้อยละ 2<strong> ภาวะรอยประสานกะโหลกศีรษะเชื่อมติดกันก่อนกำหนด ชนิดซินโดรม</strong> ที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ เมงเคซินโดรม ครูซองซินโดรม เซธเระโซเซ็นซินโดรม ไฟเฟอร์ซินโดรม และเอเพิร์ตซินโดรมภาวะรอยประสานกะโหลกศีรษะเชื่อมติดกันก่อนกำหนดแม้เป็นความผิดปกติของกะโหลกศีรษะที่พบน้อยในประเทศไทย แต่นําไปสู่การเกิดความผิดรูปของศีรษะและใบหน้า ความพิการ และความบกพร่องของระบบประสาท สติปัญญา และความสามารถในการเรียนรู้ การให้การวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม ตั้งแต่เนิ่น ๆ มีความสําคัญ เพื่อลดความพิการและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย</p>
ภัทิรา ตันติภาสวศิน
ดักกลาส ซินน์
กาลี กาลี
วิจิตร ธรานนท์
สิทธิชัย ตันติภาสวศิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
50 2
157
157